จากลูกหม่อนที่ไม่มีค่า เปลี่ยนเป็นคริสตัลสวยงามในการจัดแต่งอาหาร รักในการตกแต่งอาหาร จนได้รับรางวัลมามากมาย เช่น นักศึกษารางวัลพระราชทาน ปี 2549 เยาวชนดีเด่นแห่งชาติแห่งชาติ สาขาอาชีพ ปี 2548 รางวัลการประกวด Fusion thai Sweet Contest (ขนมไทยใส่ไอเดีย)
“กวาง” เล่าว่า มัลเบอร์รี่คริสตัล (Mulberry Crystals : Topping and Decoration) เป็นการศึกษาการนำลูกหม่อนซึ่งเป็นผลผลิตที่มีมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยลูกหม่อนที่สุกให้รสชาติหวานอมเปรี้ยวเหมาะกับการทำผลิตภัณฑ์อาหาร
“กรรมวิธีการผลิต เริ่มต้นที่การคัดเลือกลูกหม่อนเพื่อทำซอสก่อน นำลูกหม่อนไปล้างน้ำสะอาดเพื่อลดจำนวนจุลินทรีย์ ชั่งน้ำหนักลูกหม่อนสีม่วง ต่อลูกหม่อนสีแดง ในอัตราส่วน 9:1 ทำการวัดปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ และวัดความเป็นกรด ด่าง ของลูกหม่อนแต่ละสี สกัดน้ำลูกหม่อน โดยใช้ลูกหม่อนทั้งสองสีมาต้มกับกรดซิตริกและน้ำ เพื่อใช้ความร้อนช่วยให้เพคตินละลายออกมากยิ่งขึ้นและทำให้โปรโตรเพคตินที่มีในผลไม้ เปลี่ยนเป็นกรดเพกตินิค หรือเพคตินได้ ซึ่งจะช่วยให้มีเพคตินในน้ำผลไม้ให้มากยิ่งขึ้น”
อดีตเยาวชนดีเด่น เล่าถึงกรรมวิธีต่ออีกว่าให้นำลูกหม่อนมาปั่นและกรองน้ำลูกหม่อน ต้มเคี่ยวน้ำสกัดลูกหม่อนกับน้ำตาลทราย และเกลือ จากนั้นใส่แป้งดัดแปรที่ละลายน้ำในอัตราส่วน 1:1:5 ต้มต่อจนวัดอุณหภูมิได้ 105 องศา วัดความหวานได้ 63 องศาบริกซ์ ใส่น้ำมะนาว ยกลงปรับ pH ให้อยู่ในระดับ 3.7 การปรับ pH ของซอสทำโดยการเพิ่มปริมาณของสารละลายกรดซิตริก จะได้ซอสลูกหม่อนสำหรับนำไปบรรจุภัณฑ์ ทำการบรรจุซอสลูกหม่อนที่มีอุณหภูมิประมาณ 90 – 95 องศาเซลเซียสลงในขวดแก้วที่ผ่านการล้างและลวกฆ่าเชื้อปิดฝาทันทีแล้วหุ้มด้วยฟิล์มหด วางพักไว้ให้เย็นซึ่งซอสลูกหม่อนที่ได้นำมาผลิตมัลเบอร์รี่คริสตัล โดยนำซอสลูกหม่อน 30% เจลาติน 5% และผงวุ้น 5% น้ำสะอาด 30% ของน้ำหนักที่กำหนด”
ทั้งนี้ในอนาคตเจ้าของไอเดียฝากมาบอกอีกว่า ตนได้ยื่นจดสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว จะนำเอาผลไม้ไทยๆที่มีในแต่ละฤดู มาทำเป็นคริสตัลสีต่างๆ ซึ่งนอกจากความสวยงามแล้วในลูกหม่อนยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย เช่น วิตามินเอ บี1 บี2 บี6 วิตามินซี แคมเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก กรดโฟลิค สารเควอซิติน(Quercetin) และเคมเฟอรอล(Kaempferol) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านมะเร็ง
“การทำอาหารของผมส่วนใหญ่เกิดจากความชอบส่วนตัว อาหารทำให้ผมได้ใช้จินตนาการอยู่ตลอดเวลา อาหารไม่ใช่ต้องทำอย่างเดียวซ้ำๆ อาหารที่ผมได้สัมผัสมันคือความแตกต่าง เพราะแต่ล่ะสถานที่มีวัฒนธรรมการกินที่ไม่เหมือนกัน อาหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้อยู่ทุกๆ วัน อาหารมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเหมือนโลกที่กำลังหมุนรอบตัวเอง ในความคิดของผมอาหารไม่ได้สำคัญเฉพาะรสชาติเพียงอย่างเดียว หากแต่ความใส่ใจทุกรายละเอียดก็จะทำให้อาหารจานนั้นพิเศษกว่าจานอื่น เพราะอาหารจานนั้นปรุงแต่งจากหัวใจของคนทำ” กวางกล่าวทิ้งท้าย
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.manager.co.th/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น